หนุ่มเกาหลี “อี ยอง สอก” เขาขายผัก ผลไม้ และ ปลา ด้วยความสุขสนุกสนาน จนเป็นมหาเศรษฐี ตั้งแต่อายุเพียง ๓๐ กว่าๆเท่านั้น!
⭐ ร้านของเขาปัจจุบันมี 8 สาขา ทุกวันจะมีลูกค้ามารอตั้งแต่ร้านยังไม่เปิด
⭐ ไม่มีตู้แช่แข็งเพราะขายปลาหมดเกลี้ยงในวันเดียว
⭐ ขายสินค้าในสต็อกให้เหลือ 0%
⭐ ลูกค้าเชื่อใจมาก ซื้อโดยไม่ถามคุณภาพของผักผลไม้ก่อนซื้อสินค้า
⭐ หากผลไม้ที่ซื้อไปไม่ถูกปากลูกค้า ยินดีรับคืน
⭐ กว่าครึ่งหนึ่งลูกค้าเดินทางมาจากที่ไกลเพื่อซื้อสินค้าจากร้าน
⭐ พนักงานมีรายได้ดีเท่ากับการทำงานในบริษัทใหญ่ๆ
⭐ พนักงานของร้านได้ไปดูงานต่างประเทศ
⭐ พนักงานบางคนที่ทำงาน 5 ปีขึ้นไป ได้ไปดูงานต่างประเทศกว่า 15 ประเทศ
⭐ บริษัทใหญ่ยังต้องเข้าคิวมาศึกษาวิธีทำงานของร้านนี้
⭐ ร้านไม่เคยแจกใบปลิวหรือทำการโฆษณาใดๆ ลูกค้ามาจากการบอกต่อกันเท่านั้น
⚡⚡ เขาทำได้อย่างไร? ⚡⚡
☀ ก่อนจะมีวันนี้ ☀
“อียองสอก” ก็เหมือนหนุ่มเกาหลีทั่วไป คือเมื่อเรียนจบก็ทำงานบริษัทรับเงินเดือน และมีชีวิตแบบ “คนทำงาน” ทั่วไป รวมทั้งมีแฟนสาว(สวย)เป็นแอร์โฮสเตส
ชะตาชีวิตผันแปร เมื่อเขาทำงานหามรุ่งหามค่ำอดหลับอดนอนทำแผนงานเสนอ แต่เพราะความไม่มั่นใจกับงานชิ้นแรก เขาจึงนำไปให้รุ่นพี่ดูเพื่อขอคำปรึกษา ..รุ่นพี่คนนั้นส่ายหน้าบอกว่า “ไม่ผ่าน”
ซึ่งความจริง ..มันไม่เป็นเช่นนั้น เพราะผลสุดท้าย รุ่นพี่คนนั้นกลับนำผลงานของเขาไปพรีเซนต์นาย “อียองสอก” จึงตัดสินใจลาออก..ไปตายดาบหน้า
พร้อมกับความคิดที่วนเวียนถามตัวเองว่า “ไม่มีงานที่สนุกและซื่อสัตย์อยู่จริงๆ หรือ งานที่มีค่าตอบแทนกลับมาเท่ากับที่เราลงแรงไป งานที่มีชีวิตชีวาตลอดเวลา”
☀ จุดเปลี่ยน ☀
ชะตากรรมผันแปร เมื่อเขากลายเป็นคนตกงาน และไปนั่งคิดถึง”อนาคต” ที่ริมแม่น้ำฮัน
ที่นั่น เขาเห็นรถเร่ขายปลาหมึกแห้งท่าทางน่ากิน แต่พ่อค้าไม่ค่อยสนใจจะขายมากนัก คือจอดรถเข็นอยู่กับที่
“อียองสอก” นึกสนุก จึงขอเช่ารถเข็นจากพ่อค้าคนนั้น แล้วเดินไปขายต่อ
เขาใช้ความเป็นคนร่าเริง ขี้เล่น บวกกับวิธีขายแบบแปลกๆ จึงขายหมดใน 30 นาที ได้กำไรเท่าตัว คือซื้อมาจากพ่อค้า 2 หมื่นวอน เขาขายได้ 4 หมื่นวอน (ประมาณ 1,200 บาท)
“แบบนี้.. สนุกดีเนอะ” เจ้าตัวคิด และบอกกับตัวเองในใจว่า
“เรา เจอแล้ว !! การค้าขายคือความซื่อสัตย์ ที่เดิมพันแพ้ชนะกันด้วยคุณภาพเท่านั้น”
☀ หนทางหมื่นลี้..ต้องมีก้าวแรก ☀
เขาตัดสินใจเรียนรู้การค้าขายในปี 1993 โดยติดตามพ่อค้าปลาหมึกตระเวนไปทั่ว เพื่อเรียนรู้พื้นฐานของการค้าขายโดยไม่ได้เงินเดือนใดๆ
จนเมื่อครบหนึ่งปี จึงออกมาทำการค้าขายผักผลไม้ โดยการเดินไปเรียนรู้การเลือกผักผลไม้ในตลาดค้าส่งที่ใหญ่ที่สุด คือ ตลาดสดการัก
แรกๆโดนปฏิเสธ บางครั้งถูกดุด่าไล่ บางครั้งถูกทำร้ายตบตี แต่อียองสอกก็จะเดินเข้าตลาดทุกวัน
เขาเริ่มการค้าผักด้วยการขับรถเร่ขายไปตามที่ต่างๆ หนทางการฝ่าฟันนั้นไม่ได้ง่ายเหมือนภาพความสำเร็จที่เห็นในปัจจุบัน การตั้งแผงเร่ขายแม้จะประหยัดต้นทุนเช่าร้านแต่ไม่มีลูกค้าประจำ ต้องกำหนดเวลาการขายตามสถานที่ต่างๆให้ลูกค้าคุ้นเคย
บางครั้งไม่มีลูกค้าแม้แต่คนเดียวในวันฝนตก บางครั้งนั่งตากหิมะที่เย็นเฉียบ จนบางครั้งอียองสอกก็เกิดอาการท้อใจ
หลายครั้งที่เขาไม่อยากตื่นมาเพื่อไปตลาด แต่ทุกครั้งที่เขารู้สึกท้อเบื่อกับสิ่งที่ต้องทำ เขาจะรีบไปโกนผมตัวเองเพื่อเป็นการควบคุมและเตือนสติตัวเองให้สู้ !!
☀ อุปสรรคไม่มี บารมีไม่เกิด ☀
มีบททดสอบเข้ามาวัดใจเขาอีกมากมาย…
ไม่ว่าการถูกพ่อค้าคนอื่นลงมือทำร้าย ถูกเจ้าหน้าที่ยึดแผงยึดสินค้า ไม่ว่าจะถูกทำร้ายกี่ครั้ง ไม่ว่าต้องไปจ่ายค่าปรับกี่ครั้ง แต่…เขาก็จะยังกลับมาขายของขายผักทุกครั้ง จนคนอื่นต้องยอมแพ้ในความมุ่งมั่นของเขาไปเอง
แต่บททดสอบชีวิตที่สาหัสสากรรจ์สำหรับเขา คือ …
พ่อแม่หญิงสาวที่เขารัก ยื่นคำขาดให้เขากลับไปทำงานบริษัทที่ดูมีอนาคตกว่าการทำงานต่ำต้อยอย่างคนขายผัก
แต่เขาก็ยังซื่อสัตย์กับตัวเอง เพราะนี่คืออาชีพที่ใช้สร้างชีวิต ซึ่งเขาตัดสินใจเลือกแล้ว…เขาจะไม่ยอมทิ้งความฝันของตัวเอง…เขาจะเดินหน้าต่อไป !!
1. อียองสอก ไม่ได้เรียนรู้จากผู้มีประสบการณ์เพียงแค่คนเดียวแต่เขาถือว่า ผู้มีความรู้ในการเลือกผักและผลไม้ทุกคนในตลาดสดการัก เป็นผู้ให้ความรู้แก่เขา (ตลาดสดการัก เป็นตลาดสินค้าเกษตรกรรมขายส่งที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลี)
2. แตงโมที่ร้านของหนุ่มโสด มีราคาแพงกว่านิดหน่อย แต่รับรองเรื่องรสชาติได้ทุกลูก ส่วนเจ้าอื่นอาจถูกกว่า แต่มีแตงโมรสชาติดีจริงๆ แค่ไม่กี่ลูก เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว การซื้อแตงโมจากร้านเขา จะคุ้มค่ากับเงินที่ลูกค้าจ่ายมากกว่า
3. ระบบการหมุนเวียนสินค้า การขนส่งที่รวดเร็วเหนือใคร และการรับประกันคุณภาพสินค้า ทำให้มีลูกค้าเข้ามาซื้อเยอะ ผักและผลไม้ จึงจำหน่ายออกไปได้อย่างรวดเร็วทันใจ เวลาในการจัดเก็บสินค้าจึงน้อย ดังนั้นเรื่องความสดใหม่ ก็ไม่ต้องพูดถึง
4. “ทำงานหนัก” อียองสอก ทำงานประมาณ 18 ชั่วโมงต่อวัน ชีวิตประจำวันของเขา ปกติจะตื่นตั้งแต่ ตี 2 ครึ่ง ไปถึงตลาดการักประมาณ ตี 3 ด้วยรถมอเตอร์ไซด์ จากนั้นจะเดินเลือกผัก ผลไม้ และปลา ใช้เวลาประมาณ 6-7 ชั่วโมง สินค้าที่เขาเลือกจะถูกส่งไปหน้าร้านฮะนะซังฮเว ซึ่งเป็นร้านขายส่งของบริษัทผลไม้จุงอัง จากนั้นรถบรรทุกจะมาส่งถึงร้านขายผักของหนุ่มโสด ระหว่างที่อียองสอก ซื้อสินค้า พนักงานหนุ่ม 8 คน ที่ร้านจะทำความสะอาดร้านและเตรียมจัดสินค้าอย่างรวดเร็ว เพื่อเปิดร้านในเวลา 10 โมงเช้า เมื่อซื้อสินค้าเสร็จ เขาก็จะกลับไปที่ร้าน เวลามีลูกค้ามาก ๆ จะคึกคักทำให้ การขายมีชีวิตชีวา อียองสอกช่วยขายผักและผลไม้ เหมือนพนักงานคนอื่น ๆ หรือจัดการจราจรหน้าร้าน ไม่มีกำหนดเวลาอาหารกลางวันที่แน่นอน หากมีเวลาว่างนิดหน่อยจะผลัดเปลี่ยนกันไปทานอาหารกลางวัน ร้านจะปิดในเวลา 6 โมงเย็น แต่ใช่ว่างานจะเสร็จสิ้นเพียงแค่นั้น เพราะจะมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับพนักงานและคำนวณยอดขายในวันนั้น ถ้าเสร็จเร็วก็ได้นอน 2 ทุ่ม หรือถ้าช้าหน่อยก็ได้นอนประมาณ 4 ทุ่ม ถือว่าต้องใช้ความ อดทนสูง หากไม่ใช่สิ่งที่ชอบ นับว่าเป็นเรื่องยากทีเดียว
5. ลูกค้าร้านขายผักของหนุ่มโสด มีประมาณวันละหนึ่งพันคน อียองสอกเป็นตัวแทนรสชาติที่ถูกปากของลูกค้าหนึ่งพันคนนั้น ถ้าอยากให้หนึ่งพันคนบอกว่าดีก็ห้ามทำงานแค่เพียงพอใช้ เพราะรสชาติที่ถูกปากสำหรับเขาใช้ความละเอียดสูงและทำไปอย่างเป็นธรรมชาติ และรู้ว่ามาตรฐานการเลือกผลไม้ของอียองสอกนั้นใช้ความพิถีพิถันสูง
6. อียองสอก ไม่มีความสามารถพิเศษอะไร เขาแค่เปลี่ยนวิธีซื้อสินค้า จำนวนมากในราคาถูก มาขายสินค้าจำนวนมาก แต่เป็นสินค้าคุณภาพดีที่สุด ในราคาที่เหมาะสม และได้กำไรสูงสุด ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามหลักที่ถูกต้อง ทำให้ลูกค้าได้สินค้ามีคุณภาพในราคาที่เหมาะสม
7. “เข้าไปนั่งในใจลูกค้า” ร้านขายผักของหนุ่มโสดเปิดสิบโมงเช้า แต่ก่อนเปิดร้านก็มีลูกค้า มาต่อคิวรออยู่แล้ว ลูกค้าที่เข้ามาในร้าน ส่วนมากเป็นแม่บ้าน ประมาณ 90 % ดังนั้นพนักงานจะเรียกลูกค้าว่า ‘คุณแม่’ ร้านขายผักของหนุ่มโสด ก็มีพนักงาน ที่เป็นหนุ่มโสด รวมทั้ง อียองสอก เจ้าของร้านด้วย และที่อายุน้อยที่สุด คือ 20 ต้น ๆ และอายุมากสุดก็ 30 ต้น ๆ ‘คุณแม่’ ก็มักชอบผู้ชายหนุ่ม ๆ ที่เป็นพนักงานของร้านหนุ่มโสดเพราะมีเสน่ห์อย่างหนึ่งซ่อนไว้ ทำให้ผู้คนรู้สึกสนุกสนานได้
8. “บริหาร ทุนมนุษย์ ให้เจริญงอกงาม” พนักงานขายก็มักจะจดจำลูกค้าและเรื่องราวของลูกค้าได้ดี คำทักทายต่าง ๆ ก็เป็นกันเอง มีอัธยาศัยไมตรีดีต่อกัน พนักงานแต่ละคนมีลูกค้าประจำ ประมาณสองร้อยกว่าคน เขาไม่ต้องทำบัตรเพื่อบันทึกข้อมูล รูปร่างหน้าตาของลูกค้าการแต่งตัว พฤติกรรม และเรื่องการสนทนากับลูกค้า และอื่น ๆ พวกเขาจะจำข้อมูลทุกอย่างที่ได้เห็นและได้ยินจากลูกค้าไว้ในสมองทั้งหมด ดังนั้น ข้อมูลที่พวกพนักงานหนุ่มจำนั้น จึงมีประโยชน์มากกว่าข้อมูลที่มีเป็นกระตั๊ก แต่นอนนิ่งอยู่ในบัตรสำหรับดูแลลูกค้า พนักงานขายก็จะเลือกจำเฉพาะสิ่งที่จำเป็น เช่น จำผลไม้ทุกชนิดที่ลูกค้าชอบเมื่อลูกค้าจะมา เขาก็จะหยิบไว้ให้ก่อนเลย เป็นต้น หรือเมื่อทราบว่าลูกค้าประจำป่วย ก็จะมีกระเช้าผลไม้ที่ชอบ นำไปเยี่ยมทันที และมีบริการส่งถึงบ้านด้วย
9. คุณภาพ “คน” = คุณภาพของ “กิจการ” อียองสอก จะช่วยให้พนักงานที่มี..ความคิดและความสามารถ “ถึง” สามารถออกไปเปิดกิจการของตัวเองได้ เขาจะสนับสนุน ทุกอย่างที่จะทำให้เปิดร้านได้ รวมถึงค่าเช่าร้านเท่าที่พนักงานต้องการ ถ้า..อียองสอก เห็นสีหน้าของพนักงานดูเหนื่อย มากๆ เขาจะสั่งให้ลาพักร้อนไปเลยและส่งพนักงานไปเที่ยว แถมจ่ายค่าเดินทางให้พนักงานไปเที่ยวที่ไหนก็ได้อีกด้วย แต่มีเงื่อนไขข้อเดียวคือ พนักงานจะต้องกลับมาทำงานต่อแน่ ๆ
ทุกวันนี้ “ร้านขายผักของหนุ่มโสด” กลายเป็นที่ทัศนศึกษาของนักศึกษาด้านการตลาด รวมทั้งบริษัทใหญ่ๆที่พาทีมขายไป “ดูงาน”ที่ร้านขายผักแห่งนี้ ส่วน “อียองสอก” ก็ทำหน้าที่เหมือนเป็น”อาจารย์นอกห้องเรียน” นอกจากนั้น “ร้านขายผักของหนุ่มโสด” ยังเป็นแหล่งงานที่คนหนุ่มสาวมากมาย อยากมาร่วมงานด้วย
วันนี้…อียองสอก ยังไม่ยอมหยุดพักแม้จะมีอายุมากแล้ว เพราะเขาเชื่อมั่นว่า ที่นี่เป็นสถานที่ที่มอบความกระตือรือร้นให้กับคนหนุ่มสาวได้อีกมากมาย เขาจะยังคงมอบคุณค่าเหล่านี้ให้กับผู้คนต่อไป…นี่แหละ “ชีวิตที่มีคุณค่า”
ขอบคุณ คุณ Chakkapan Thiarawat สำหรับบทความ และ การแบ่งปันเรื่องราวค่ะ
ขอบคุณ ครูพี่ม้อกที่ทำให้จอยคิดถึงหนังสือเล่มนี้ บทความนี้ คนๆนี้นะคะ ^_^
ขอบคุณค่ะ
จอย Dip PLRT, C.HT, NLP
facebook.com/SpreadYourWings.Wide